บทที่ 5 อยู่ๆ ก็เป็นแม่ซะงั้น (50%)
‘นี่อย่าเพิ่งไปสิ! กลับมาคุยกันให้รู้เรื่องก่อน!’
ร่างอวบอิ่มสะดุ้งเฮือก ตื่นจากห้วงฝันด้วยสภาพใบหน้าชื้นเหงื่อ ลืมตาโพลงท่ามกลางความมืดมิด ยกมือขึ้นก่ายหน้าผาก แล้วถอนหายใจออกมาพรืดใหญ่
ความฝันพิลึกพิลั่นแบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก ตรงข้ามมันเกิดขึ้นบ่อยมาก แต่เธอไม่เคยชินสักครั้ง เมื่อตัวเองต้องกลายมาเป็นหนึ่งในตัวละครหลักของความฝัน
หลังจากฟื้นคืนสติจากการประสบอุบัติเหตุอาการสาหัสตอนอายุเกือบย่างยี่สิบ บูรณิมาก็ฝันประหลาดในลักษณะเดิมซ้ำๆ ตอนแรกเลือนลาง แต่นานวันยิ่งชัดเจนมากขึ้น ที่น่าพิลึก และสุดแสนจะน่าอาย ก็คือผีน้อยในฝันของเธอตนนั้นจะทึกทักว่าเธอคือแม่ตลอด ตั้งแต่ครั้งแรกที่ปรากฏในความฝันจวบจนกระทั่งถึงปัจจุบันอีกฝ่ายก็ยังพร่ำบอกว่าเธอคือแม่ ต่อให้จะไล่ จะขอร้องไม่ให้ตามรังควาน จนถึงขั้นยกมือไหว้ ผีเด็กก็ยังตามวอแวไม่เลิก
แรกๆ เธอจิตตกหนักมากจนถึงขั้นไปหาหมอดู ไปบูชาของดีจากวัดดังๆ เพื่อหวังจะขับไล่ผีเด็กไปให้พ้นๆ แต่อีกฝ่ายกลับไม่กลัวอะไรเลยสักอย่าง ไม่ยอมไปผุดไปเกิด แถมยังมาหาเธอบ่อยขึ้นไปอีก แต่ที่น่าตกใจสุดก็คงเป็นการมาของผีน้อยในค่ำคืนนี้ มันต่างออกไป เพราะอีกฝ่ายมาเฉลยว่าใครคือพ่อของตัวเอง
คนคนนั้นคือพระเอกนิยายของเธอ หมายถึงคนที่เธอเอารูปมาเป็นอิมเมจพระเอกในนิยาย ตามคำขอร้องอ้อนวอนของศรีจิตตราซึ่งเป็นแฟนนิยายตัวยงของเธอ อีกฝ่ายคลั่งไคล้เขาเอามากๆ ถึงแม้ตอนแรกเธอจะปฏิเสธหัวชนฝา เพราะไม่อยากจะทนมองรูปคนที่เคยมีประเด็นกับตัวเองเมื่อสามปีก่อน แต่สุดท้ายก็แพ้ลูกอ้อน และน้ำคำวิงวอนแกมรบเร้าของศรีจิตตรา ที่สุดก็ต้องยอมกัดฟันนำเอารูปของเขามาเป็นอิมเมจพระเอกในนิยายของตัวเอง ดีที่รูปนั้นสามารถหยิบยกมาใช้เป็นอิมเมจได้ เพราะเขาเคยไปถ่ายแบบขึ้นปกนิตยสารธุรกิจหัวนอกอยู่ฉบับหนึ่ง ซึ่งก่อนจะอัพโหลดลงเว็บไซต์บูรณิมาก็ได้ส่งอีเมลไปขออนุญาตทางบรรณาธิการของนิตยสารแล้ว
ในชีวิตจริงผู้ชายคนนั้นมีครอบครัวแล้ว เขามีภรรยาที่สวยและเพียบพร้อมเหมาะสมกันราวกับกิ่งทองใบหยก มีลูกสาวที่น่ารัก เห็นข่าวว่างั้นนะ เพราะถึงแม้เธอจะรู้จักกับภรรยาของเขา แต่ไม่เคยเห็นลูกสาวของอีกฝ่ายสักที ได้ยินว่าเขาหวงลูกสาวมากประดุจดั่งไข่ในหิน หวงจนไม่ยอมให้ออกสื่อ และไม่ยอมให้รูปของลูกเผยแพร่ต่อสาธารณะ
แน่นอนว่าบูรณิมาไม่ได้คิดอะไรกับการที่ผีเด็กมาทึกทักว่าเธอเป็นแม่ของเจ้าหนูร่วมกับผู้ชายคนนั้น ถึงแม้จะนึกแสลงใจอย่างน่าประหลาด แต่ก็ไม่ได้เก็บเอาเรื่องของเขามาใส่ใจ หรือคาดหวังอะไรทั้งสิ้น เพราะสำเหนียกดีว่าเขาเป็นคนมีครอบครัว เป็นผู้ชายต้องห้าม ที่เธอไม่ควรจะไปนึกถึง หรือไปบ้าจี้ตามผีเด็กตัวแสบ ไม่ว่าจะในแง่มุมไหนก็ตาม เพราะมันไม่มีทางเป็นไปได้อยู่แล้ว เพียงแต่บูรณิมาไม่อยากให้ความฝันพิลึกแบบนี้เกิดขึ้นอีก แต่ก็ไม่รู้ว่าจะจัดการอย่างไรกับวิญญาณผีเด็กที่ยังคงคอยตามวอแวเธอไม่เลิก
เช้าวันถัดมา ร่างอวบแต่ไม่ได้อ้วนอย่างที่เจ้าตัวมักจะคิดไปเอง เดินออกมาจากห้องนอนด้วยสภาพอิดโรยเพราะนอนไม่หลับ ก้าวไปยังโต๊ะกินข้าวที่มารดากำลังนั่งจัดการกับอาหารเช้าอยู่เพียงลำพัง เดาว่าพ่อของเธอคงไม่ได้กลับบ้านอีกตามเคย หญิงสาวเลื่อนเก้าอี้ออกนั่ง พร้อมเอ่ยเบาๆ
“อรุณสวัสดิ์ค่ะแม่”
“อืม”
“พ่อไม่กลับบ้านอีกแล้วเหรอคะ?”
ถึงแม้จะพอเดาได้ แต่บูรณิมาก็อดถามไถ่ไปถึงบิดาด้วยความเป็นห่วงไม่ได้
“อือ…”
มารดาผู้เคยสดใสมีชีวิตชีวามาบัดนี้กลับตอบทื่อๆ เหมือนคนไร้ความรู้สึก ท่าทีดูไม่มีความสุขทำให้บูรณิมานึกกลัดกลุ้ม เพราะรู้ว่าสาเหตุที่ทำให้แม่ไม่สบายใจคือเรื่องหนี้สินของพ่อ ซึ่งตอนนี้ทุกอย่างกำลังเดินมาถึงทางตัน ต่อให้จะขายทรัพย์สินที่มีทั้งหมดก็ไม่สามารถชดใช้ได้ไหว เพราะมันมากมายมหาศาลเหลือเกิน
จะว่าไปครอบครัวเธอขายทรัพย์สินไปเกือบหมดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นรถของเธอ รถของพ่อกับแม่ สร้อยทองและกำไลแขนที่แม่รักนักรักหนา จะเหลือก็แต่คอนโดที่บูรณิมาซื้อด้วยน้ำพักน้ำแรงของตัวเอง เก็บเงินที่ได้จากการขายนิยายมาซื้อ ซึ่งจุดประสงค์ที่ซื้อไว้ก็เพื่อจะได้ปลีกตัวไปอยู่เงียบๆ คนเดียวในช่วงที่ต้องการสมาธิในการคิดและรีไรท์งาน ที่จริงเธอบอกให้พ่อกับแม่ขายแล้วเอาเงินไปใช้หนี้ หากแต่แม่กลับไม่เห็นด้วย แถมยังค้านหัวชนฝา ไม่ยอมให้ขายท่าเดียว โดยให้เหตุผลว่ามันคือความภาคภูมิใจของเธอ มันคือน้ำพักน้ำแรงของเธอ ต่อให้ครอบครัวจะไม่เหลืออะไรเลยก็ต้องไม่ขายคอนโดที่ถือเป็นของชิ้นแรกที่ได้จากการขายนิยายของเธอ
“แม่คะ ตอนเกิดอุบัติเหตุ ไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับหนูจริงๆ เหรอคะ”
อยู่ๆ เธอก็โพล่งขึ้น ครั้นได้ยินว่าลูกสาวถามถึงเหตุการณ์ในอดีตนางบูรณาก็มีท่าทีกระตือรือร้นขึ้นมา
“ฝันประหลาดอีกแล้วล่ะสิ”
คนเป็นแม่ถามอย่างรู้ทัน เพราะทุกครั้งที่ถามคำถามนี้ลูกสาวมักจะฝันถึงเรื่องประหลาด
“ค่ะ”
สาวน้อยพยักหน้าด้วยท่าทางเนือยๆ คว้าปาท่องโก๋จุ่มลงไปในแก้วน้ำเต้าหู้จนชุ่ม จากนั้นก็ยกขึ้นกัดคำโต เคี้ยวตุ้ยๆ ถึงได้เอ่ยต่อ
“นอกจากบาดเจ็บสาหัส ความจำเสื่อม หนูเป็นอะไรอีกไหมคะ แล้วมีคนอื่นในเหตุการณ์ไหม แบบว่า…มีคนตาย หรือได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุเดียวกับหนูอะไรทำนองนั้น”
จากคำบอกเล่าของพ่อกับแม่ ตอนอายุสิบเก้า เธอประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ อาการสาหัส สมองได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง ทำให้สูญเสียความทรงจำบางส่วนไป ตื่นมาอีกทีเธอก็อายุเกือบจะยี่สิบปีแล้ว บูรณิมาจำเหตุการณ์ตั้งแต่ในช่วงมหา’ลัยปีหนึ่ง เทอมหนึ่ง ซึ่งตอนนั้นก็น่าจะเป็นช่วงที่เพิ่งผ่านพ้นวันเกิดอายุครบสิบเก้าปีเต็มของเธอ จนกระทั่งถึงช่วงประสบอุบัติเหตุไม่ได้เลย มันเป็นช่วงเวลาที่เธอไร้ความทรงจำ ในสมองว่างเปล่า เหมือนว่าเหตุการณ์ช่วงนั้นถูกตัดออกไปจากสารระบบเสียดื้อๆ หรือไม่ก็สมองไม่อยากจดจำอะไรเทือกนั้น


















































































































































































































































































